หวังดีต่อตัวเอง หวังดีต่อผู้อื่น หวังดีต่อสังคม (3 ดี)
 
     
 
ยิ่งตี...ยิ่งโต (4)
เกิดมาเสียดายแทนตัวเองที่เป็นศิษย์ไม่มีครู เสมือนงูที่ไม่มีพิษ ที่ทำงานเอาตัวรอดมาได้ก็ด้วยใช้วิชา ครูพัก ลักจำ
 

เช้าวันนี้เป็นวันที่ 14 กันยายน พ.ศ25.... ตื่นสายหน่อยเพราะไม่มีการนัดหมายกับใครเพียงรอเจ้าจอยเอาแผนที่มาให้ดู ซึ่งได้บอกไปแล้วว่าสะดวกตอนไหนก็มาจะได้พักผ่อนกันเสียบ้าง เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่แต่เหนื่อยใจนี้รู้สึกมันหายยากหายเย็น ทุกคนเขารู้นิสัยกันหมดแล้ว ว่านายทศหากง้างนกแล้วจะยิงทุกครั้ง ถ้าไม่อยากยุ่งจะไม่พยายามเข้าที่เกิดเหตุหนีไปดื้อๆ แต่งานนี้ถลำเข้าไป 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว ถ้าถอยอย่างมีหลักก็ไม่เจ็บตัว แต่ความเชื่อความศรัทธาของบรรดาลูกน้องหมดไปทันทีและควรล้างมือกับอ่างทองแดงได้แล้ว...

 นั่งนึกไปจะหาใคร เป็นที่ปรึกษาหรือเป็นครูให้สักคนก็ไม่มี เกิดมาเสียดายแทนตัวเองที่เป็นศิษย์ไม่มีครู เสมือนงูที่ไม่มีพิษ ที่ทำงานเอาตัวรอดมาได้ก็ด้วยใช้วิชา ครูพัก ลักจำ คนที่ไม่มีครูจะพัฒนาต่อไปได้ยาก และตอนนี้คนที่ไม่มีครูกลับมาเป็นกัปตันเรือรบขนาดเล็กที่ต้องสู้กับคลื่นกลางมหาสมุทรใหญ่ จะไหวหรือก่อนที่ความท้อแท้จะมากัดกร่อนจิตใจ จิตใต้สำนักที่เคยท่องจำไว้เสมอมาว่า “ปัญญาเปรียบประดุจดังอาวุธสุจริตคือเกราะกำลังศาสตร์พ้อง”  มันดังก้องในโสตประสาท เท่านั้นแหละสติกลับคืนมา พอดีกับคุณธีรยุทธ วงศ์ไพเสริญ กับคุณดุสิต กมลพาณิชย์ มาถึงหน่วยลงจากรถพากันเดินตรงมาที่ข้าพเจ้านั่ง แล้วทั้งสองคนก็นั่ง ข้าพเจ้าทักก่อน...

“ว่ายังไงคุณซิกไปล่าพวกตัดไม้ที่เขาศาลาได้กี่ราย”

 หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ สร.3 (บัวเชด) ตอบว่า ได้ 3 ราย มีแต่ไม้ตะเคียนหินกับไม้ประดู่ ผู้ต้องหาทั้งหมด 6 คน ข้าพเจ้าจึงกล่าวชมเชยที่การตับกุมครั้งนี้ได้ตัวทุกคดี เพราะเคยให้นโยบายว่าจับไม้ต้องให้ได้ผู้ต้องหา ให้พยายามอย่างสุดความสามารถ มิฉะนั้นจะถือว่าขาดประสิทธิภาพ ก่อนที่จะซักถามต่อผู้ช่วยจอยรีบกางแผนที่ที่ได้รังวัดเมื่อวานให้ดูมีอยู่ 2 แผ่น ในกระดาษ เอ 4หนึ่งแผ่น กระดาษ เอ 3 อีกหนึ่งแผ่น ข้าพเจ้ากางแผนที่ในกระดาษ เอ3 ก่อนปรากฏว่าเป็นแผนที่รูปร่างลักษณะบ่อที่ถูกขุดและตำแหน่งของบ่อที่อนุญาตตรงกับแผนที่ของป่าไม้อำเภอทุกอย่างต่างกันเพียงแผนนี้มีภาพถนนไปบ้านกระทม และแยกไปบ้านละหุ่งซึ่งเป็นหลักยึดโยงที่สำคัญมากต่อรูปคดี แต่ที่ประหลาดใจคือผู้นำชี้ได้ปรากฎลายเซนต์ของนายชวเลขเรียบร้อยแล้วจึงถามขึ้นว่า....

 “เฮ้ย จอยคุณพล๊อตเสร็จนั่งเครื่องบินไปให้ไอ้ขนมโก๋มันลงนามตั้งแต่เมื่อคืนหรือยังไง?”

เจ้าจอยตอบแบบเจนสังเวียนแล้วว่า...

 “เรื่องอย่างมันมีเทคนิค จะยากอะไรผมเอาแผนที่ที่ผมพล๊อตบ่อที่ขุด 14 ไร่ ให้พี่แก่เซนต์ชื่อไว้ กลับมาผมจึงได้ลงแปลงอนุญาตเท่านี้ก็เสร็จ แต่อีกแผ่น ผมไปนั่งพล๊อตตอนพี่กับพี่ขนมโก๋ก๊งเหล้ากันมันมีเพียง 2 จุดเท่านั้น ก่อนแกกลับผมเอาไปให้แกเซนต์ เท่านี้ก็เสร็จ”

ข้าพเจ้าฟังลูกน้องแต่ละคนแล้วได้แต่ส่ายหน้า ถ้าเป็นสำนวนโบราณจะบอกว่าฝีมือขั้นเทพ....พอตรวจดูเห็นว่าเรียบร้อยดี กล่าวชมเชยไปเป็นการให้กำลังใจและบอกให้ไปพักได้ครึ่งวันคือพรุ่งนี้ วันมะรืนให้มาพร้อมกันที่หน่วยสังขะจะได้เข้าไปที่สำนักงานป่าไม้อำเภอเมือง ผลจะเป็นอย่างไรวันนั้นทุกคนจะรู้ดี....?

รุ่งขึ้นมันเป็นวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. ..... ข้าพเจ้าตื่นเช้าเป็นพิเศษเนื่องจากเมื่อคืนได้นอนเต็มอิ่มเนื่องจากภารกิจในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จรวบรวมหลักฐานได้หมดแล้ว วันนี้คิดว่าผ่านอาหารมื้อเช้าไปแล้วจะนั่งพิมพ์หนังสือซักหน่อยมีเวลาทั้งวันอยู่แล้วพอท้องอิ่มก็ได้เวลาเข้านั่งประจำที่โต๊ะพิมพ์ดีด เอากระดาษบันทึกข้อความที่ไม่มีเส้น สอดเข้าเครื่องขึ้นหัวว่าสำนักงานป่าไม้อำเภอเมือง วันที่ 16 กันยายน พ.ศ

บันทึกฉบับนี้ทำขึ้นเป็นหลักฐานแสดงว่า.....แล้วก็บอกรายชื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบว่าได้ตรวจสอบว่าได้ตรวจสอบเสร็จแล้วมาขึ้นย่อหน้าใหม่ว่า 1. ข้อเท็จจริงโดยได้บรรยายการทำงานตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน พ.ศ.... จนถึงวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 25.... แล้วมาสรุปข้อเท็จจริงว่า...

 “คณะเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าบริเวณที่นายชวเลขชี้นั้น เป็นบริเวณเดียวกับที่นายต่อพงษ์ป่าไม้อำเภอเมืองนำชี้ จึงเชื่อได้ว่าเป็นแปลงอนุญาตที่ถูกต้อง เป็นแปลงเดิมที่ได้เคยตรวจอนุญาตครั้งแรก และได้ร่วมกันตรวจสอบบริเวณที่บุกรุกนอกเหนือจากแปลงอนุญาตเพิ่มเติม  ปรากฏผลดังนี้.....พอถึงตรงนี้ได้พิมพ์เป็นข้อๆ ว่าป่าถูกไถบุกรุกรวมทั้งหน้าดินไปเท่าไหร่และได้ขุดเจาะระเบิดเอาหินไปแล้วกี่ไร่ ลึกลงไปเท่าใดหักลบกลมกันแล้วสรุปได้ว่าบุกรุกเป็นเนื้อที่เท่าใด และตรวจพบลูกไม้ที่ถูกทิ้งนับได้ 130 ต้น คราวนี้มาถึงข้อพิจารณา....”

จากข้อเท็จจริงตามข้อ 1 ดังได้กล่าวสรุปมาข้างต้น คณะเจ้าหน้าที่พิจารณาแล้วเชื่อว่า นายอำนาจ ศิลาทอง ได้ทำการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาสวาย เพื่อขุดเจาะระเบิดหินเกินกว่าที่ได้รับอนุญาตจริงและบุกรุกเกินเป็นจำนวนเนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา คิดว่าเสียหายประมาณ 85,600 บาท (ไร่ละ 2,000 บาท ต้นไม้ต้นละ 500 บาท) และได้มีการย้ายหลักเขตไปตามแนวที่ขุดเจาะระเบิดหินออกไปจากหลักเดิมจริง ... ต่อไปเป็นข้อเสนอแนะ ข้อที่ 1  เห็นควรเรียกปรับผู้รับอนุญาตตามเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตข้อหนึ่ง ข้อที่ 2 พักใบอนุญาตตามเขื่อนไข ข้อที่ 3 ให้อำเภอเมืองหรือจังหวัดแจ้งความดำเนินคดี นายอำนาจ ศิลาทอง กับพวก 4 คน ตามเงื่อนไข ในข้อหาร่วมกันบุกรุกก่อสร้าง ทำให้เสื่อมเสียสภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ คณะเจ้าหน้าที่จึงได้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน ต่อไปก็เป็นชื่อข้าพเจ้า พี่เพียร ป่าไม้อำเภอผู้ตรวจสอบตามคำสั่ง รวมรายงานปะหน้าฉบับนี้ทั้งสิ้น 4 หน้ากระดาษ จบเสียทีนั่งอ่านทบทวนดูว่ามีตกหล่นอะไรไปบ้าง พอตรวจเสร็จ ลองนับเอกสารประกอบบันทึกฉบับนี้ดู ปรากฏว่าไม่น้อยเลย มีเอกสารทั้งสิ้น 85 แผ่นรวมทั้งบันทึกเสนออีก 4 แผ่นเป็น 89 แผ่น นับว่าเป็นบันทึกการจับกุมที่มีเอกสารประกอบไม่น้อยทีเดียวหากแจ้งความร้องทุกข์ แล้วคดียังสั่งไม่ฟ้องอีกเห็นทีจะต้องเลิกทำงานปราบปรามได้แล้ว ...

รวบรวมเอกสารทั้งหมดใส่แฟ้มเรื่องเดิมไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที งานเสร็จเอาบ่าย 4 โมงเย็น พอดีกับที่ประเวศมาถามว่าจะให้สั่งอาหารเย็นให้หรือเปล่า เพราะจะเข้าไปในตัวอำเภอ ข้าพเจ้าบอกไปว่าขอคะน้าหมูกรอบราดหน้า 1 ห่อ พอข้าพเจ้าอาบน้ำแต่งชุดนอนลงมานั่ง ข้าวที่ให้ไปซื้อมาวางอยู่ตรงหน้า ประเวศถามว่า

“พรุ่งนี้เราเข้าจังหวัดกี่โมง”

ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า...

                “นัดเจ้าจอยไว้ 9 โมงเช้า มาเมื่อไรเราออกได้ทันที”

นาฬิกาข้อมือข้าพเจ้ามันบอกเวลา 09.00 น. ของวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 25..... พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นรถปิกอัพสีน้ำเงินของหน่วย สร.3 วิ่งเข้ามาจอดหน้าหน่วย คนที่เดินลงมาคือทีมงานเจ้าจอยพอเห็นข้าพเจ้าร้องถามขึ้นทันที...!?

                “ผมว่าพี่ประเวศฯ กับผมไม่ต้องไปก็ได้เพราะไม่ได้เป็นคณะกรรมการตรวจสอบ ลงนามกันเพียง 3 คน คือพี่เพียร และป่าไม้อำเภอเมืองก็เสร็จรายละเอียดทั้งหมดผมจัดให้แล้ว”

พอเจ้าจอยพูดจบ ประเวศ เสริมทันที...

“ผมก็เห็นด้วยกับเจ้าจอย ไม่ต้องไปก็ได้เปลืองข้าวเขาเปล่าๆ”

ถ้าดูตามเหตุผลน่าจะสมจริงเพราะทั้งสองคนเป็นเพียงผู้ปฏิบัติไม่ต้องลงนามอะไรอีกแล้ว จึงได้ตอบกลับไปว่า...

 “พวกคุณไม่กลัวเขาจะอุ้มผมหายไปหรืออย่างไร พวกเราเล่นกันเป็นทีมอยู่แล้ว ไปขึ้นรถ”

สามเสือแห่งขุนเขาพนมดงรักก็มาถึงสำนักงานป่าไม้อำเภอเมือง ทั้งต่อพงษ์ และพี่เพียรรออยู่แล้ว ข้าพเจ้าเอาเอกสารออกมาบอกประเวศกับธีรยุทธ์ ว่า เอกสารทั้งหมดมี 89 แผ่นได้เขียนหมายเลขไว้ที่หัวกระดาษแล้วช่วยถ่ายเอกสารให้ได้ 5 ชุด พอดีกับสำนักงานป่าไม้อำเภอมีเครื่องถ่ายเอกสารอยู่พอดี และได้บริการให้ถ่ายโดยไม่ต้องจ่ายเงิน นับว่าบริการดี พอจัดชุดเสร็จ ข้าพเจ้าแจกให้ทุกคนๆละฉบับอ่าน ประมาณ 20 นาทีทุกคนอ่านจบดูหน้าเคร่งเครียดกันทุกคน โดยเฉพาะพี่เพียรครางออกมาถามข้าพเจ้าว่า...

 “เอาอย่างนี้หรือคุณทศ ไม่หนักไปหน่อย”

สำหรับป่าไม้อำเภอเมืองไม่มีทีท่าอะไรคงสงวนท่าทีไว้ ข้าพเจ้าจึงบอกไปว่า...

 “มอบให้พี่เพียร 1ชุดนำเรียนป่าไม้จังหวัด อีกสองชุดมอบให้ป่าไม้อำเภอนำเสนอนายอำเภอ และหากเห็นชอบนำอีกชุดที่เป็นตัวจริงเข้าแจ้งความร้องทุกต่อพนักงานสอบสวน ที่เหลือผมจะนำเรียนป่าไม้เขต และเก็บเป็นเรื่องเดิมไว้ที่หน่วย เท่านี้นะมีใครจะทักท้วงอะไร ถ้าไม่มีผมและคณะขออำลากลับที่พัก”

 เสร็จแล้วประเวศและเจ้าจอยต่างพากันเดินไปยังรถ กลับคืนถ้ำเสียทีออกล่าเหยื่อไกลเหลือเกิน การทำงานครั้งนี้เป็นการทำงานที่เสี่ยงมาก เขาไม่นิยมทำกัน หากเป็นในไพรพง เสือร้ายจะไม่ยอมข้ามห้วยอย่างเด็ดขาดเพราะไม่ทราบศักยภาพฝ่ายเจ้าถิ่น งานนี้ยังไม่จบต้องรอดู ขณะที่รถผ่านพ้นเขตจังหวัดกำลังจะเข้าเขตอำเภอ เจ้าจอยกระทู้ถามขึ้นมาว่า....

“ผมกับพี่ประเวศไม่นึกว่าพี่จะจับ คิดว่าจะให้จังหวัดเรียกปรับกรณีผิดเงื่อนไข ซึ่งผมไม่เคยอ่านและไม่เคยรู้มาก่อน”

ประเวศได้โอกาสพูดเสริมขึ้น...

 “ทำงานมาตั้งหลายวันผมมารู้เอาตอนที่ไปนั่งถ่ายเอกสารเย็บเล่มนั่งอ่านไปตกใจไม่นึกว่าจะเอาจริง”

ข้าพเจ้าจึงบอกว่าพี่พาพวกเราทำงานอย่างเงียบและไปเรื่อยไม่กระโตกกระตากเนื่องจากไม่ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่น ถ้าป่าวประกาศ คุณรู้ไหมว่าใครหนีก่อน พี่เพียรยังไง ขนาดคุณโหฬารยังไม่ยอมโผล่มาให้เห็นหน้าเลย และพวกเราอาจถูกขอร้องแกมบังคับ หรือมีอิทธิพลมืดจากที่ใดไม่ปรากฏ สั่งการลงมา งานของเรามันต้องลับจริงๆ ไม่ใช่ “ลับให้แซด” มองดูทั้งสองคนแล้วนั่งฟังไม่โต้แย้งอะไร มีแต่เจ้าจอยพึมพำว่า...

“ไม่ใช่พี่คงไม่มีใครกล้าจับแน่นอน ทุกคนคิดเอาตัวรอดทั้งนั้น ”

และแล้วรถก็มาถึงหน่วยพอดีต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน....

                ข้าพเจ้าและลูกน้องต่างปฏิบัติงานไล่ล่าพวกลักลอบตัดไม้ในเขตท้องที่ไม่ได้ติดตามข่าวการจับกุมระเบิดย่อยหินเพราะได้มอบให้อำเภอดำเนินการแล้ว เวลาผ่านไป 7 เดือน ได้ทราบข่าวว่าศาลจังหวัดท่านตัดสินคดีแล้ว จึงให้ลุงอุดร ซึ่งเป็นข้าราชการย้ายมาอยู่หน่วยใหม่ทำหนังสือถึงผู้พิพากษาผู้เป็นหัวหน้าศาลเพื่อขอคัดสำเนาคำพิพากษาเมื่อได้รับคำพิพากษามาแล้วจึงได้นำมาอ่านกัน สรุปว่า ... พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคแรกให้จำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 5,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 , 30 ให้จำเลยคนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ....

ขณะที่กำลังร่างหนังสือส่งสำเนาคำพิพากษาไปให้สำนักงานป่าไม้เขต  ทั้งประเวศและธีรยุทธ ได้เดินมานั่งเก้าอี้ตรงหน้า ประเวศคืนสำเนาคำพิพากษาให้ แล้วถามว่า...

 “พี่ร่างเสร็จแล้วหรือยังผมจะพิมพ์ให้”

 ข้าพเจ้ากำลังจบบทสุดท้ายพอดีแล้วยื่นให้ ประเวศรับไปพิมพ์ที่เครื่องข้างโต๊ะของข้าพเจ้า สำหรับเจ้าจอยเริ่มถามขึ้นมาบ้าง...

“ทำไมโทษมันถึงเบาจังเลยพี่ แถมรอลงอาญาอีก”

ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า...

“คุณดูไว้นี่แหละที่เขาเรียกว่าคนเป็นมวยหรือไม่อย่างนั้นก็ได้กุนซือดีเขารู้ว่าโทษบุกรุกป่าสงวนไม่ถึง 25 ไร่ และไม่มีการตัดไม้ยาง และทำลายพื้นที่ต้นน้ำ หากสารภาพโทษน้อยแล้วยังได้ลดหย่อนอีก แถมไม่ต้องติดคุกเพราะรอลงอาญา ใจผมลึกๆอยากให้เขาสู้คดี แต่กุนซือเห็นหลักฐานที่เราทำไปทั้งหนาแน่นครบถ้วนไม่คลุมเครือ ที่เขาเรียกว่า จำนนด้วยหลักฐาน สารภาพดีกว่าเสียประวัตินิดหน่อยไม่มีใครสนใจอยู่แล้วอีกทั้งอายุก็มากแล้ว ไม่มีอะไรจะเสีย”

พอข้าพเจ้าตอบเสร็จประเวศซึ่งกำลังพิมพ์ถามขึ้นมาบ้าง...

“แล้วคนงาน 4 คนที่เราให้ดำเนินคดีไม่เห็นถูกลงโทษ”

ข้าพเจ้าตอบไปว่า...

“ประเด็นนี้ยิ่งง่าย บ่อที่เขาขุดเจาะมันมีใบอนุญาตเขาอ้างว่าคนงานไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยเท่านี้ก็จบ ”

สำหรับตัวข้าพเจ้าแล้วไม่สงสัยอะไร ตอนที่รอฟังผลและรอหมายเรียกจากศาลเมื่อไม่มีหมายมาแสดงว่าผู้ต้องหาสารภาพแน่นอนและได้ข่าวมาว่าวันที่ป่าไม้อำเภอไปส่งคดีสารวัตรใหญ่ลงมารับคดีด้วยตนเอง ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่ผลที่ออกมาทำให้เราเห็นสัจะธรรมขึ้นอีกมาก ต่อมาหลานชายเจ้าของโรงโม่หินสมัครรับเลือกตั้งได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปรากฏการณ์นี้ทำให้เห็นว่าการไปยุ่งกับคนมีเงินมีพวกมีการศึกษาไม่ได้ยิ่งตี ..ยิ่งโต...หลีกได้ให้หลีก...??

 


Last updated: 2014-11-17 06:23:17


@ ยิ่งตี...ยิ่งโต (4)
 


 
     
เชิญท่านเป็นบุคคลแรกที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความ ยิ่งตี...ยิ่งโต (4)
 
     
     
   
     
Untitled Document
 



LFG
www.lookforest.com|บทความ|โปรแกรมคาร์บอนต้นไม้|ฐานข้อมูลชีวภาพ|เครือข่ายฟาร์มป่าไม้|ติดต่อบรรณาธิการ
Powered by: LOOK FOREST GROUP
23/1 ซอยรัชดาภิเษก 64 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม.
Clicks: 
1,214

Your IP-Address: 18.97.14.84/ Users: 
1,212