วนวัฒนวิทยาประยุกต์

มณฑล  จำเริญพฤกษ์

 

 

8.1   เป้าหมายของการพัฒนาป่าไม้

       8.1.1    เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

       8.1.2    เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

       8.1.3    เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของสังคม

8.2   รูปแบบการขึ้นอยู่ของต้นไม้

       8.2.1    แบบเป็นผืน

       8.2.2    แบบเป็นหมู่

       8.2.3    แบบเป็นแถว

8.3   การจัดการต้นไม้และหมู่ไม้

       8.3.1    คุณภาพกล้าไม้

       8.3.2    การปลูกหรือสืบต่อพันธุ์

       8.3.3    การบำรุงรักษา

       8.3.4    ระบบตัดฟัน

8.4   สรุป

 

 

การพัฒนาป่าไม้เพื่ออำนวยประโยชน์ต่อสังคมอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้านวนวัฒน์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาป่า ได้แก่ การสร้างและบำรุงป่า การควบคุมการเจริญเติบโตและองค์ประกอบของหมู่ไม้ในพื้นที่ การดูแลสุขภาพของต้นไม้ และการควบคุมคุณภาพของต้นไม้และป่าไม้

ความรู้พื้นฐานในวิชาวนวัฒนวิทยา หรือ รากฐานวนวัฒน์ หรือ รากฐานวนวัฒนวิทยา (Silvics) เป็นการศึกษาถึงปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่กว้างขวางในระดับภูมิภาค ซึ่งก่อให้เกิดป่าไม้ประเภทต่างๆ แคบลงมาถึงระดับท้องถิ่น ผันแปรไปตามลักษณะเฉพาะของภูมิประเทศซึ่งมีหมู่ไม้หลากหลายกลุ่มขึ้นอยู่ และภายในหมู่ไม้ก็ยังมีความผันแปรของปัจจัยสิ่งแวดล้อมดังกล่าวซึ่งกำหนดการเติบโตของต้นไม้แต่ละชนิด ต้นไม้เหล่านั้นต่างแก่งแย่งปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในพื้นที่กับพืชที่ขึ้นอยู่ อย่างไรก็ดี บทบาทในด้านการเติบโต การออกดอก ออกผล การผลิใบ ตลอดจนถึงการแก่ของต้นไม้เป็นผลอันสืบเนื่องมาจากกระบวนการทางด้านสรีรวิทยา (physiological process) และพันธุกรรมของต้นไม้ (tree genetic) สำหรับ กระบวนการทางด้านสรีรวิทยาจะเกิดขึ้นในทางบวกหรือลบขึ้นอยู่กับปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ต้นไม้แต่ละต้นได้รับ อันได้แก่ ปัจจัยเกี่ยวกับดิน น้ำหรือความชื้น อากาศ แสงสว่าง และอุณหภูมิ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ย่อมได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งมาจากภูมิประเทศและภูมิภาคที่พื้นที่นั้นๆ ตั้งอยู่ และส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากผลกระทบของการใช้ประโยชนป่าไม้โดยมนุษย์ หรือมนุษย์อาจใช้เทคโนโลยีในการดัดแปลงสิ่งแวดล้อมดังกล่าวที่อยู่รายรอบต้นไม้ ให้มีความเหมาะสมต่อวัตถุประสงค์ของการจัดการได้ เทคโนโลยีที่ใช้ดัดแปลงสิ่งแวดล้อมดังกล่าวเรียกว่า วนวัฒน์วิธี (silvicultural practices) ความรู้ที่เกี่ยวกับการใช้วนวัฒน์วิธีต่างๆ เรียกว่า วนวัฒน์ หรืออีกนัยหนึ่งวนวัฒนวิทยา (Silviculture)[1] ซึ่งเป็นวิชาที่ใช้ทั้งความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์มาประยุกต์เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์

ในบทนี้ จะได้กล่าวถึง เป้าหมายของการพัฒนาป่าไม้ว่ามีทิศทางอย่างไร? จะสนองความต้องการในด้านใดบ้างของสังคม? จะเป็นรูปแบบหรือโครงสร้างอย่างใด? และจะนำวนวัฒน์วิธีมาใช้ในการจัดการได้อย่างไร?

 

8.1    เป้าหมายของการพัฒนาป่าไม้

การพัฒนาป่าไม้ ในที่นี้ หมายถึง การพัฒนาในส่วนของป่าไม้ หมู่ไม้ และต้นไม้ เพื่อสนองความต้องการของสังคม ซึ่งทิศทางการพัฒนาป่าไม้จำแนกออกได้ 3 ทิศทาง ได้แก่ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การพัฒนาเศรษฐกิจ และการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของสังคม

8.1.1       เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

                   ป่าไม้เป็นสังคมพืชที่สร้างเสถียรภาพให้เกิดขึ้นในระบบของการใช้ประโยชน์ที่ดิน ช่วยในการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำ (watershed) (ตารางที่ 8.1) เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนานัปการ เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gas) และควบคุมภูมิอากาศท้องถิ่น

            การจัดการที่ดินป่าไม้ในรูปแบบของอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และการกำหนดพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ เป็นแนวทางการพัฒนาป่าไม้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  พื้นที่ป่าไม้ดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการจัดการในรูปแบบต่างๆ อาทิ การส่งเสริมการสืบพันธุ์ของไม้ป่าตามธรรมชาติ (assisted natural regeneration) การปลูกเสริมป่า (enrichment planting) และการปลูกสร้างสวนป่า (reforestation) ซึ่งเน้นการฟื้นฟูกลับคืนสู่ธรรมชาติ

 


ตารางที่ 8.1   อิทธิพลป่าไม้ด้านการอนุรักษ์ดินและน้ำ

 

อิทธิพลป่าไม้

ผลลัพธ์

คำอธิบาย

ด้านการอนุรักษ์

ลดการกัดชะหน้าดิน

เรือนยอดของต้นไม้จะทำหน้าที่เป็นโล่กำบังเม็ดฝนที่ตกมาจากที่สูงและกระทบเม็ดดินแตกกระจายเสียหาย กลายเป็นเม็ดดินเล็กๆ อุดตามช่องว่างต่างๆ ทำให้ดินแน่นเร็วเกิดน้ำไหลบ่าได้ง่าย เป็นสาเหตุของการสูญเสียหน้าดินโดยการกัดชะ

ช่วยปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์

ปรับปรุงลักษณะกายภาพของดินให้มีความเหมาะสมด้วยการเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุจากการร่วงหล่นของซากพืช เช่น กิ่ง ใบ และอื่นๆ ช่วยทำให้ดินมีความพรุนมากขึ้นโดยการชอนไชของราก ทำให้มีช่องน้ำ และอากาศ เหมาะสมสำหรับการเติบโตของพืชอื่นๆ

ช่วยควบคุมการเคลื่อนย้ายแร่ธาตุ

ระบบรากของไม้ยืนต้นมีลักษณะที่แผ่ขยายกว้างและลึก จึงทำหน้าที่เสมือนร่างแหที่คอยดูดและจับธาตุอาหารที่ถูกชะล้างจากดินชั้นบนมิให้สูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ แล้วหมุนเวียนกลับสู่ดินอีกครั้งจากการร่วงหล่นของใบและอื่นๆ นอกจากนี้ รากของพืชยังช่วยเกาะยึดดินเอาไว้ให้แน่น ลดการเคลื่อนย้ายธาตุอาหารออกจากพื้นที่จากการชะล้างพังทลายของดิน

ช่วยควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในดิน

การปกคลุมของเรือนยอดและการคลุมดินโดยซากพืชที่ร่วงหล่นลงมา ทำให้อุณหภูมิผิวดินและใต้ดินลึกลงไปมีความแตกต่างกันไม่มากนัก เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของจุลินทรีย์ทั้งหลายรวมทั้งรากพืชด้วย

ช่วยส่งเสริมกระบวนการทางชีวะในดิน

การเพิ่มอินทรียวัตถุช่วยให้อุณหภูมิและความชื้นเหมาะสม นอกจากนี้ รากของต้นไม้ยังสามารถปล่อยสารบางชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อจุลินทรีย์ในดิน เช่น ไมคอไรซ่าหรือแบคทีเรียบางชนิดที่อาศัยอยู่บริเวณราก  ช่วยทำให้ธาตุอาหารในดินเป็นประโยชน์มากขึ้น

ด้านการอนุรักษ์น้ำ

ควบคุมการคายระเหยของน้ำ

ในสภาพที่ความชื้นในดินมีไม่เพียงพอหรือเริ่มจะขาดแคลน  ใบของต้นไม้จะทำหน้าที่ควบคุมมิให้ปากใบเปิด จนทำให้การคายระเหยมากเกินไป

ควบคุมระดับน้ำใต้ดิน

การที่มีไม้ยืนต้นในปริมาณที่มากเพียงพอจะเป็นสิ่งปกคลุมดิน  ชะลอการซึมน้ำสู่ใต้ดินอย่างฉับพลัน และการมีรากที่ลึก ดูดน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้ ทำให้ระดับน้ำใต้ดินอยู่คงที่ ไม่ทำให้เกิดปัญหาเอ่อล้นสู่ผิวดิน นำเกลือแร่มาลอยอยู่ผิวดินเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาดินเค็มขึ้น

ช่วยให้การซับน้ำดีขึ้น

รากของต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในปริมาณพอเหมาะจะมีความสามารถในการชอนไชลงไปในดินชั้นล่างได้ แม้ว่าจะมีชั้นดินแข็งขวางกั้นอยู่ ทำให้ดินมีช่องว่างเพียงพอที่จะยอมให้น้ำซึมลงสู่ใต้ดินได้ไม่ก่อปัญหาการไหลบ่าของน้ำหน้าดินเกิดขึ้น

8.1.2       เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

ป่าไม้เป็นที่มาของผลผลิตต่างๆ ได้แก่ ไม้ซุง สารเคมีในเนื้อไม้ สมุนไพร พืชผักกินได้ และของป่าต่างๆ ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญต่อการดำรงชีพของมนุษย์ กล่าวคือ ไม้เป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ภายในบ้าน นอกจากนี้ยังใช้ในกิจการด้านการเกษตรต่างๆ และนำมาแปรรูปเป็นสินค้าได้อีกมากมายหลายรายการ ไม้จึงนับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สามารถสร้างความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ของคนในสังคม นอกจากนี้ ในเนื้อไม้ยังมีสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย การพัฒนาป่าไม้จึงถือว่าเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจด้วย

จากสถิติของกรมป่าไม้ (ภาพที่ 8.1) จะเห็นได้ว่า ศักยภาพการผลิตไม้เศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งในปี พ.ศ. 2546 มีความต้องการบริโภคไม้ประมาณ 1.162 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ผลิตได้ในประเทศเพียง 20,200 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งการผลิตในประเทศยังน้อยกว่าปริมาณที่ส่งออกอยู่ถึง 1.105 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้น ไม้ที่ส่งออกส่วนใหญ่จึงได้มาจากการนำเข้ามาแล้วขายต่อไปยังประเทศอื่น หรือนำมาแปรรูปแล้วจึงขายส่งออก โดยมีปริมาณนำเข้าถึง 2.248 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงควรที่รัฐจะได้พิจารณาพัฒนาการป่าไม้เพื่อเศรษฐกิจอย่างรีบด่วน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ภาพที่ 8.1     สถานการณ์การใช้ไม้ภายในประเทศ ระหว่างปี พ.ศ. 2530-46

 

 

            การพัฒนาป่าไม้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สามารถดำเนินการได้ทั้งเป็นป่าถาวรในรูปแบบของไม้รอบตัดฟันยาวรอบตัดฟันกว่า 30 ปี และในรูปของสวนป่าหรือฟาร์มป่าไม้ที่มีไม้รอบตัดฟันสั้น 5-10 ปี สำหรับข้อพิจารณาเกี่ยวกับไม้เศรษฐกิจแสดงได้ดังตารางที่ 8.2

 

ตารางที่ 8.2   การใช้ประโยชน์ไม้เศรษฐกิจ คุณสมบัติที่ควรพิจารณา และชนิดไม้ตัวอย่าง

 

การใช้ประโยชน์

คุณสมบัติที่ควรพิจารณา

ชนิดไม้ตัวอย่าง

ไม้ซุงและไม้แปรรูป

·     เป็นไม้โตช้า มีรอบหมุนเวียนค่อนข้างยาวนานกว่า 30 ปี

ประดู่ มะค่าโมง แดง สัก

·     เป็นไม้โตเร็ว เนื้อไม้ไม่แข็งมากนัก รอบหมุนเวียน 10 –15 ปี

สนประดิพัทธ์ ยูคาลิปตัส กระถินยักษ์

ไม้ฟืน

·     ให้ความร้อนสูง มีความสามารถในการแตกหน่อได้ดี

กระถินยักษ์ ขี้เหล็ก ยูคาลิปตัส
กระถินณรงค์

เยื่อ

·     เนื้อไม้มีเส้นใยที่ค่อนข้างยาว

สนสามใบ ยูคาลิปตัส ไผ่

·     เปลือกมีเส้นใยยาว ทำกระดาษพื้นบ้าน

ข่อย  ปอสา

อาหาร

·     ใบ ดอก หรือ ผลรับประทานได้

แคบ้าน ขี้เหล็ก สะเดา

สมุนไพร

·     มีสรรพคุณทางยา

เปลือกอบเชย

สารสกัด

·     ให้ยางไม้ (gums) ซึ่งเป็นสารเหลวเหนียวที่อยู่บริเวณเปลือก เมื่อลำต้นถูกกรีดหรือเจาะจะไหลออกมา

ไม้ตีนเป็ดแดง

·     ให้น้ำฝาดหรือแทนนิน (tannin) ซึ่งเป็นสารสกัดในถุงของเหลวภายในเซลล์ พบในเปลือก เนื้อไม้ ใบ ราก ผล ใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนังสัตว์และทอผ้า

·     เปลือก ได้แก่ กระถินพิมาน ถ่อน
ก่อขยัน

·     เนื้อไม้ ได้แก่ กัลปพฤกษ์ คูณ
ตะแบกเลือด

·     ผลและเปลือก ได้แก่ สมอไทย
มะค่าแต้ มะขามป้อม สมอภิเพก

·     ให้สีธรรมชาติ (natural dyes) เป็นสารสกัดที่อยู่ในส่วนของ ราก ใบ ต้น

·     สีดำได้จากผลมะเกลือ

·     สีแดง เหลือง และส้ม ได้จากเยื่อหุ้มเมล็ดไม้คำแสด

·     สีน้ำตาล ได้จากเปลือกไม้อ้อยช้าง

·     สีเหลือง ได้จากแก่นขนุน

 

ตารางที่ 8.2   (ต่อ)

 

การใช้ประโยชน์

คุณสมบัติที่ควรพิจารณา

ชนิดไม้ตัวอย่าง

สารสกัด

·     ชันไม้ (resin) เป็นสารเหลวที่ไหลซึมออกมาจากการเจาะเนื้อไม้ หรือกรีดทำรอยแผลให้เปลือกขาดออก ไม่ระเหย ใช้ทำแลกเกอร์ น้ำมันทาชักเงา น้ำหมึก กาว และพลาสติกสังเคราะห์

·     สนสองใบ สนสามใบ ตะเคียนชันตาแมว เต็ง รัง มะเลื่อม เคี่ยม ตะแบก และกะบาก

·     ให้น้ำมันหอมระเหย (essential oil) ซึ่งเป็นสารสะกัดมีลักษณะเป็นน้ำมันระเหย มีกลิ่นหอม ใช้ทำน้ำหอม น้ำปรุงกลิ่น และรสชาด

·     เสม็ด กระเบา ยูคาลิปตัส กฤษณา

·     ให้น้ำเลี้ยงจากท่ออาหาร (phloem sap) มีรสหวาน

·     ตาล จาก และมะพร้าว

 

 

8.1.3       เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของสังคม

       ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิพลต่อภูมิอากาศรอบข้าง (ตารางที่ 8.3) ช่วยลดมลภาวะที่มีอยู่ในเมือง มีความสวยงาม ช่วยทำให้สุขภาพจิตของผู้คนในสังคมดีขึ้น การพัฒนาป่าไม้ในเมืองจึงเป็นเป้าหมายหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งมีรูปแบบของการพัฒนา ได้แก่ ต้นไม้ในสวนสาธารณะ ต้นไม้บนถนนในเมือง และต้นไม้ตามอาคารบ้านเรือน

สำหรับพรรณไม้ที่ปลูกเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของชุมชนในเมืองอาจเป็นไม้ยืนต้น (trees) ไม้พุ่ม (shrubs) ไม้เลื้อย (vines) หรือพืชคลุมดิน (ground covers) ก็ได้  ซึ่งมีข้อพิจารณาในการนำมาปลูกดังต่อไปนี้

ไม้ยืนต้น เหมาะสำหรับที่จะนำมาปลูกเพื่อช่วยในการเชิดชูความสง่างามของอาคารสถานที่ต่างๆ ให้ประโยชน์ทั้งร่มเงา กรองเสียง กรองฝุ่น และอื่นๆ  สิ่งที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับต้นไม้ประเภทนี้ได้แก่  เป็นต้นไม้ผลัดใบหรือไม่ผลัดใบ  รูปทรงตามธรรมชาติเป็นอย่างไร  ความสูงเมื่อโตเต็มที่เป็นเท่าใด  ขนาดทรงพุ่มกว้างมากน้อยเพียงไร  ใบและดอกมีสีเป็นอย่างไร  ออกดอกฤดูกาลใด  อัตราการเติบโตเป็นอย่างไร  ไม้ยืนต้นที่นิยมนำมาปลูกเพื่อการประดับ  ได้แก่  พวกที่มีดอกหรือใบสวยงาม  เช่น  กาหลง  ขี้เหล็กบ้าน  แคแสด  ชงโค  ชมพูพันธุ์ทิพย์  ชัยพฤกษ์  เสลา  ทรงบาดาล  ทองอุไร  ทองกวาว  นนทรี  ฝ้ายคำ  ศรีตรัง  หางนกยูงฝรั่ง  หูกวาง  และอินทนิลน้ำ  เป็นต้น

ตารางที่ 8.3   สรุปอิทธิพลของต้นไม้ต่อภูมิอากาศรอบข้าง (microclimate)

 

อิทธิพลต่อภูมิอากาศรอบข้าง

คำอธิบาย

การแผ่รังสี

รังสีดวงอาทิตย์เมื่อตกกระทบมายังต้นไม้นั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน  ได้แก่ ส่วนที่หนึ่ง ถูกสะท้อนกลับออกไปเมื่อมากระทบกับพื้นผิวของเรือนยอด ส่วนที่สอง ต้นไม้ดูดซับเอาไว้เพื่อใช้ในกระบวนการสรีระต่างๆ และส่วนที่สาม รังสีจะส่องผ่านเรือนยอดต้นไม้ลงมาข้างล่าง ส่วนที่สะท้อนกลับนั้นจะเป็นรังสีอินฟาเรด  ที่ให้ความร้อนเกือบทั้งสิ้น  ส่วนที่ดูดซับนั้น  ส่วนหนึ่งเป็นรังสีอัลตราไวโอเลต  ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวหนังมนุษย์หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป  สำหรับส่วนที่ส่องผ่านมาได้นั้นก็มีพลังงานต่ำและปานกลาง  จึงเห็นได้ว่าต้นไม้ช่วยขจัดรังสีที่เป็นอันตราย  ก่อให้เกิดความสมดุลของรังสีส่วนต่างๆ สร้างสภาวะแวดล้อมของภูมิอากาศท้องถิ่นที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย

การหมุนเวียนของอากาศ

ต้นไม้ที่ปลูกเป็นแถวในรูปแบบของแนวกันลม  จะช่วยลดความเร็วของลมจากปกติถึงร้อยละ 80  เป็นระยะทางกว่า 3 เท่าของความสูงของแนวกันลม   ทำให้ลมบริเวณด้านหลังแนวปะทะเป็นลมอ่อนๆ เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยของคน สัตว์ และพืช

ความชื้นในอากาศ

เป็นผลลัพธ์จากการควบคุมรังสี อุณหภูมิของอากาศ และการหมุนเวียนของอากาศ ทำให้อากาศชุ่มชื้นเหมาะสม ไม่แห้งจนเกินไป

อุณหภูมิอากาศ

เป็นผลต่อเนื่องมาจากการสะท้อนกลับ ดูดซับ และให้รังสีดวงอาทิตย์ส่องผ่าน  อุณหภูมิรอบข้างไม้ยืนต้นมักจะต่ำกว่าบริเวณเหนือเรือนยอดไม้ขึ้นไป  เนื่องจากการสะท้อนกลับของรังสีความร้อนส่วนใหญ่นั่นเอง  อุณหภูมิที่อยู่รอบข้างไม้ยืนต้นจะมีความเหมาะสมมากขึ้น  สำหรับการดำเนินกิจกรรมของพืชที่ขึ้นอยู่ข้างเคียงเพราะอุณหภูมิที่ร้อนเกินไปอาจทำให้กระบวนการทางสรีระบางอย่างหยุดชะงักลงไปได้

 

 

ไม้พุ่ม  เหมาะสำหรับที่จะนำมาปลูกเพื่อแสดงขอบเขต ทิศทางหรือเน้นจุดสนใจต่างๆ  สิ่งที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับไม้พุ่ม  ได้แก่  รูปลักษณ์ตามธรรมชาติ  ความสูง ขนาดของทรงพุ่ม  สีของดอก  ฤดูกาลที่ออกดอก  สีของใบ  และผิวสัมผัส  การเจริญเติบโต  และความรู้เกี่ยวกับการจัดการต้นไม้ชนิดนั้นๆ

ไม้เลื้อย  ต้นไม้ประเภทนี้มีรูปทรงแตกต่างจากไม้ยืนต้นทั่วไป  มักจะนำมาใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้แก่ ทำรั้ว  เป็นร่มบังแดด  กันลม  กันฝุ่น  ในการปลูกต้นไม้เพื่อสร้างความสวยงามนั้น  ไม้เลื้อยจะมีลักษณะเด่น  คือ  ให้ความรู้สึกที่อ่อนช้อย  และมีการเคลื่อนไหว  นอกจากนี้  ไม้เลื้อยมักจะมีดอกที่สวยงาม  และมีกลิ่นหอม  ช่วยให้บรรยากาศรอบข้างดีขึ้น  สำหรับสิ่งที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับการปลูกไม้เลื้อยคือ  ขนาดของไม้เลื้อย  สีดอกและฤดูกาลที่ออกดอก  สีใบและผิวสัมผัส  การเจริญเติบโต  และความรู้เกี่ยวกับการจัดการต้นไม้นั้น

พืชคลุมดิน  ถึงแม้ว่าพืชประเภทนี้จะไม่จัดอยู่ในประเภทไม้ยืนต้น  แต่ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในการปลูกต้นไม้เพื่อให้เกิดความสวยงามด้วยเช่นกัน  ประโยชน์ของพืชคลุมดิน ได้แก่  ปกปิดผิวหน้าดิน  ป้องกันการกัดชะพังทลายโดยน้ำและลม สำหรับสิ่งที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับพืชคลุมดินคือ  ลักษณะของลำต้นว่าเป็นประเภทต้นเลื้อยหรือต้นตั้ง  ความสูง  สีดอก  และฤดูกาลที่ออกดอก  สีใบและผิวสัมผัส  ความทนต่อแสง  การเจริญเติบโต  และความรู้เกี่ยวกับการจัดการต้นไม้นั้น

 

8.2    รูปแบบการขึ้นอยู่ของต้นไม้

ต้นไม้ตามธรรมชาติหรือปลูกสร้างขึ้น มีรูปแบบการขึ้นอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่ แบบเป็นผืน (piece or block) แบบเป็นหมู่ไม้หรือเป็นกลุ่ม (stand or group) และแบบเป็นแถว (row or linear)

8.2.1       แบบเป็นผืน

ป่าไม้เป็นสังคมพืชที่อยู่รวมกันเป็นผืนใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ จึงมีอิทธิพลต่อเสถียรภาพของสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศดังได้กล่าวข้างต้น

ในการปลูกสร้างสวนป่าแบบเป็นผืนนั้น อาจปลูกเป็นแบบผสม (mixed) ซึ่งมีชนิดไม้ตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปอยู่ร่วมกัน หรืออาจปลูกเป็นแบบชนิดเดียวล้วน (pure) ซึ่งเน้นการปลูกชนิดไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ข้อดีของการปลูกแบบผสมและแบบชนิดเดียวล้วนแสดงในตารางที่ 8.4

                   การปลูกป่าแบบผสมนั้นมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการอนุรักษ์สภาพแวดล้อม ไปพร้อมๆ กับการให้ผลผลิตในระยะยาว และเหมาะสมสำหรับการฟื้นฟูพื้นที่ที่เสื่อมโทรม บูรณะพื้นที่ดินว่างเปล่าให้กลับมีผลผลิตใหม่อีกครั้ง (reclamation) หรือการฟื้นฟูป่าให้มีผลผลิต (rehabilitation) หรือการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้ให้กลับเป็นสภาพเดิมที่สมบูรณ์ (restoration) การปลูกป่าแบบผสมอาจใช้เป็นวิธีการสำหรับการผลิตไม้รอบตัดฟันยาว (long rotation species) เช่น การปลูกยางนา (Dipterocarpus alatus) ซึ่งเป็นไม้โตช้าควบกับกระถินเทพา (Acacia mangium) ซึ่งเป็นไม้โตเร็วที่สามารถแข่งขันกับวัชพืชในระยะเริ่มต้นได้ ในระยะต่อมาจึงใช้การตัดไม้กระถินเทพาออกเพื่อเปิดแสงสว่างให้ไม้ยางนามีการเจริญเติบโตดีขึ้น และเป็นการนำไม้กระถินเทพาออกมาใช้ประโยชน์ ในระหว่างที่รอให้ยางนาครบรอบตัดฟัน

 

ตารางที่ 8.4   เปรียบเทียบข้อดีของการปลูกแบบผสมและการปลูกแบบชนิดเดียวล้วน

 

การปลูกแบบผสม

การปลูกแบบชนิดเดียวล้วน

·    มีลักษณะเป็นธรรมชาติ และสอดคล้องกับระบบนิเวศเขตร้อนซึ่งมักไม่ค่อยพบไม้ชนิดเดียวล้วนในธรรมชาติ

·        หมู่ไม้ผสมมีความต้านทานต่อศัตรูพืชและโรค

·    การปลูกผสมเป็นกลุ่ม หากมีความชำนาญในการคัดเลือกพื้นที่ปลูกจะเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ

·    สำหรับการปลูกเพื่อการอนุรักษ์  ควรเลือกชนิดไม้ที่เกื้อกูลกัน มีระบบรากตื้น ลึกต่างกัน ชนิดหนึ่งให้ซากพืชมาก อีกชนิดหนึ่งให้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ

·    ง่ายต่อการจัดการ ทั้งการปลูก การบำรุงรักษา และการเก็บเกี่ยว

·    เหมาะสมสำหรับการผลิตวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรม เช่น โรงงานเยื่อกระดาษ

·    ให้ผลผลิตสูงกว่าการปลูกผสมผสาน มีการเพิ่มพูนมากกว่า

 

 

                   การปลูกสวนป่าแบบผสมผสาน อาจปลูกในรูปแบบผสมผสานรายต้น (single tree mixture) หรือผสมโดยแถว (mixing by lines) หรือผสมโดยกลุ่ม (group mixture) ซึ่งการกำหนดความกว้างของแต่ละกลุ่มควรจะไม่น้อยกว่าความสูงของต้นไม้ที่ปลูกเมื่อโตเต็มที่ หรือประมาณ 30 เมตร ผสมโดยแปลง (block mixture) เป็นการผสมในพื้นที่กว้าง หรือผสมโดยการปลูกเสริม (mixture by underplanting) เช่น ไม้สนปลูกควบด้วยไม้ยาง หรือผสมแบบชั่วคราว (temporary mixtures) เช่น การปลูกไม้โตเร็วกับไม้โตช้าแล้วตัดไม้โตเร็วออก เช่น สัก (Tectona grandis) ปลูกแทรกด้วยกระถินยักษ์    (Leucaena leucocephala)  ยางนาปลูกแทรกด้วยกระถินเทพา เป็นต้น

                   การปลูกสวนป่าแบบชนิดเดียวล้วน มีความเหมาะสมสำหรับการปลูกเชิงเศรษฐกิจ เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับการอุตสาหกรรม เช่น การปลูกไม้ยูคาลิปตัส (Eucalyptus camaldulensis) เพื่อผลิตชิ้นไม้สับและเยื่อกระดาษ การปลูกไม้สักเพื่อผลิตเฟอร์นิเจอร์ การปลูกไม้ยางพารา (Hevea brasiliensis) เพื่อผลิตน้ำยางและเนื้อไม้ เป็นต้น

                8.2.2       แบบเป็นหมู่

                   เป็นการปลูกกระจายเป็นกลุ่มๆ อาจจะเป็นชนิดเดียวล้วนหรือหลายชนิดคละกัน มักจะมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดร่มเงา ความรื่นรมย์ หรือเพื่อความสวยงามเป็นสำคัญ นอกจากนี้ การปลูกต้นไม้เป็นกลุ่มๆ ยังมีความเหมาะสมสำหรับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ในทุ่งหญ้าจะเป็นร่มเงาให้สัตว์ได้ผ่อนคลาย ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น และยังอาจให้ใบและผลเป็นอาหารแก่สัตว์ได้ด้วย

                8.2.3       แบบเป็นแถว

เป็นการปลูกต้นไม้ในรูปแบบเป็นแถวหรือเป็นแถบ ซึ่งแถวของต้นไม้ควรห่างกันไม่น้อยกว่า 30 เมตร โดยมีวัตถุประสงค์ต่างๆ ได้แก่ เป็นแนวกันลมสำหรับพืชผล (field windbreak) แนวกันลมสำหรับสัตว์เลี้ยง (livestock windbreak) แนวกันลมสำหรับที่อยู่อาศัย (farmstead windbreak) หรือ เป็นแนวชะลอการไหลบ่าของน้ำผิวดินในพื้นที่เกษตรกรรม (alley cropping) หรือ แถบไม้ตามแนวระดับ (contour buffer strips) หรือในบริเวณลำน้ำการปลูกเป็นแถบป่ากันชนริมน้ำ (riparian forest buffer) จะช่วยสร้างเสถียรภาพของสองฝั่งน้ำได้

 

8.3    การจัดการต้นไม้และหมู่ไม้

            จากที่กล่าวข้างต้น จะเห็นได้ถึงเป้าหมายของการพัฒนาป่าไม้ว่ามีทิศทางหลักอย่างไรบ้าง และมีรูปแบบต่างๆ ที่จะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสนองเป้าหมายเหล่านั้นได้อย่างไร อย่างไรก็ดี การจะจัดการให้ต้นไม้ หมู่ไม้ และสวนป่าที่ปลูกสร้างขึ้นสามารถสนองวัตถุประสงค์ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการผลิตหรือการบริการก็ตาม มีองค์ประกอบของการจัดการดังต่อไปนี้

                8.3.1       คุณภาพกล้าไม้

                   กล้าไม้เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดป่าที่มีคุณภาพ ในการปลูกสร้างสวนป่าในรูปแบบใด ๆ ก็ตามข้างต้น จะต้องเริ่มจากการคัดเลือกชนิดพรรณไม้ที่เหมาะสม การคัดเลือกพันธุ์ดีที่สุด และการผลิตกล้าไม้ที่มีคุณภาพ

                   (1)    การคัดเลือกชนิดพรรณไม้ที่ปลูก จะต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ หลายประการนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ของการจัดการ อันได้แก่ปัจจัยที่เกี่ยวกับนิเวศวิทยาของถิ่นที่ปลูก(holocoenotic environment) ได้แก่ ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และชนิดดิน เป็นต้น การตัดสินใจว่าจะปลูกพรรณไม้อะไรจึงควรจะพิจารณาด้วยว่าพรรณไม้นั้นมีการความเหมาะสมกับพื้นที่นั้นหรือไม่ และจะมีการเติบโตเป็นอย่างไร

                   (2)    การคัดเลือกสายพันธุ์ เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะปลูกพรรณไม้อะไร ก็ควรจะพิจารณาว่าจะได้พันธุ์ที่ดีมาเพาะขยายพันธุ์ หรือซื้อกล้าไม้ชนิดนั้นมาปลูกได้อย่างไร การให้ได้พันธุ์ที่ดีมาปลูกนั้น จะต้องได้เมล็ดมาจากแม่ไม้ที่ได้คัดเลือกมาแล้ว (superior trees) หรือเป็นแม่ไม้ที่ได้ผ่านการทดสอบคุณภาพเมล็ดมาแล้ว (elite trees) กระบวนการปรับปรุงพันธุ์ไม้ป่า (tree improvement process) เป็นวิธีการหนึ่งที่จะสามารถคัดเลือกพันธุ์ดีที่เหมาะสมสำหรับการปลูกสร้างสวนป่าในแต่ละพื้นที่ได้

                   (3)    การผลิตกล้าไม้ เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะให้ได้คุณภาพกล้าไม้ที่ดีสำหรับการนำไปปลูก ซึ่งควรจะดำเนินการเมื่อสามารถคัดเลือกเมล็ดหรือท่อนพันธุ์ที่ดีได้แล้ว การผลิตกล้าไม้จากเมล็ดควรพิจารณาวัสดุเพาะชำที่เหมาะสม การให้น้ำ การให้ปุ๋ย การกำจัดวัชชพืช การให้แสงสว่าง การปรับสภาพให้แกร่งก่อนนำไปปลูก (hardening) อายุของกล้าไม้ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกอยู่ในช่วง 3-6 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดที่เหมาะสม ควรสูงประมาณ 30 เซนติเมตรขึ้นไป

                8.3.2       การปลูกหรือสืบต่อพันธุ์

                        เมื่อมีกล้าไม้ที่ดีเหมาะสมแล้ว ขั้นต่อไปคือ การทำให้กล้าไม้ที่นำมาปลูกตั้งตัวได้อย่างรวดเร็วในสภาพสวนป่า (establishment) หรือแม้กระทั่งในป่าธรรมชาติการช่วยให้กล้าไม้ที่งอกออกมาในป่าเจริญเติบโตเป็นไม้ใหญ่ได้เป็นงานที่สำคัญทางด้านวนวัฒน์ การทำให้กล้าไม้ตั้งตัวได้ดีขึ้นกับการเตรียมพื้นที่ การกำหนดความหนาแน่นของกล้าไม้หรือระยะปลูก การปรับปรุงบำรุงดิน การปลูก การคลุมดิน และการกำจัดวัชชพืชเพื่อลดการแก่งแย่งปัจจัยในการเจริญเติบโต

                8.3.3       การบำรุงรักษา

                   ในปีต่อไป หากมีต้นไม้บางต้นตายไป ก็ควรจะต้องมีการปลูกซ่อมใหม่ และมีการบำรุงรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำจัดวัชพืชเพื่อลดการแก่งแย่งน้ำและธาตุอาหาร การใส่ปุ๋ยเพื่อเร่งการเจริญเติบโต  สำหรับบางพื้นที่ซึ่งแห้งแล้ง การใช้วัสดุคลุมดิน หรือการทำแอ่งกักเก็บความชื้นในดินอาจต้องกระทำ เมื่อต้นไม้มีการเจริญเติบโตขึ้นเป็นไม้วัยกลาง (intermediate trees) ซึ่งยังใช้ประโยชน์ไม่ได้เต็มที่ ยังจะต้องเจริญเติบโตต่อไป การใช้วนวัฒนวิธีเพื่อพัฒนาคุณภาพไม้ เช่น การลิดกิ่ง (pruning) เพื่อลดตำหนิของตากิ่งในเนื้อไม้และขณะเดียวกันลดการหายใจของส่วนที่ไม่ได้สังเคราะห์แสงออกไปซึ่งจะช่วยให้ต้นไม้มีการเจริญเติบโตดีขึ้น รวมทั้งการป้องกันโรคและแมลงทั้งโดยวิธีทางชีวะและวิธีทางเคมี

นอกจากนี้ ในขั้นตอนของการบำรุงรักษาไม้วัยกลางในสวนป่า อาจมีการตัดขยายระยะ(thinning) เพื่อเปิดโอกาสให้ต้นไม้ที่เหลือมีการเจริญเติบโตดีขึ้น มีแสงสว่างเพียงพอ ลดการแก่งแย่งน้ำและธาตุอาหารในหมู่ไม้ และขณะเดียวกันก็อาจเป็นการได้รับประโยชน์จากการขายไม้ที่ได้รับการตัดขยายระยะออกไปด้วย  สำหรับการตัดไม้ที่ไม่ต้องการออกไปเพื่อเปิดโอกาสให้ไม้หนุ่มเจริญเติบโตโดยไม่ได้คำนึงว่าจะขายได้หรือไม่ มักจะดำเนินการในป่าธรรมชาติ ซึ่งเรียกการตัดประเภทนี้ว่า การตัดปลดปล่อย (release cutting) ซึ่งหากเป็นการเลือกตัดเฉพาะไม้ใหญ่ออกไป ก็จะเรียกให้เฉพาะว่า การตัดให้เป็นอิสระ (liberation cutting) และหากมีโรคแมลงเข้าทำลายไม้ที่ขึ้นอยู่ร่วม การตัดไม้ที่มีโรคแมลงออกไป เรียกว่า การตัดอนามัย (sanitation cutting) เพื่อลดความเสี่ยงของไม้ที่เหลือจากการเป็นโรคและการทำลายของแมลงดังกล่าว สำหรับกรณีที่สวนป่าหรือป่าไม้ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ เช่น ลมพายุ พัดยอดหัก ลำต้นโอนเอน หรือค่อนล้มลง การตัดที่เรียกว่า การตัดกู้ภัย (salvage cutting) จะถูกนำมาใช้เพื่อนำไม้ออกไปก่อนที่ความเสียหายจากเชื้อราต่างๆ ที่จะเข้าทำลายทั้งไม้ที่เสียหาย และอาจลุกลามไปถึงไม้ที่ยืนต้นอยู่ นอกจากนี้ยังเป็นการนำไม้ที่ถูกภัยพิบัติไปใช้ทางเศรษฐกิจได้อีกด้วย

 

                8.3.4       ระบบการตัดฟัน

                   เป็นการตัดฟันไม้ออกเมื่อไม้มีอายุถึงรอบตัดฟัน (rotation age) ซึ่งการจะเลือกใช้ระบบการตัดฟันแบบใดก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการจัดการพื้นที่สวนป่าหรือป่าไม้นั้น ซึ่งมีอยู่ 4 ระบบ ได้แก่ ระบบการเลือกตัด (selection system) ระบบการตัดเหลือแม่ไม้ (seed trees system) ระบบการตัดหมด (clear cut system) และระบบการตัดไม้ไว้ร่ม (shelterwood system)

                   เมื่อสภาพป่าไม้เป็นแบบผสมผสานหลายชั้นอายุ หลายชนิดขึ้นอยู่คละกัน ซึ่งมักจะเป็นป่าไม้ถาวรที่เน้นการอนุรักษ์และให้ไม้ใช้สอย มักเป็นไม้รอบตัดฟันยาว ซึ่งระบบการตัดฟันที่เหมาะสม คือ ระบบการเลือกตัด (selection system) เป็นระบบที่ตัดฟันเฉพาะต้นไม้ที่มีขนาดที่กำหนด ในจำนวนที่ไม่เกินกำลังผลิตของป่าเท่านั้น ระบบการตัดฟันนี้นิยมใช้กับป่าสัมปทาน หรือป่าเอกชนที่มีความมั่นคงในระบบการบริหารจัดการ

                   สำหรับระบบการตัดเหลือแม่ไม้ (seed trees system) จะเป็นระบบที่ตัดต้นไม้ออกหมดรวมทั้งไม้พื้นล่าง คงเหลือแต่แม่ไม้ลักษณะดีไว้ กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ เพื่อให้แม่ไม้โปรยเมล็ด เป็นกล้าไม้ในรุ่นต่อไป เมื่อลูกไม้เติบโตทดแทนเป็นแม่ไม้ได้แล้ว จึงอาจตัดแม่ไม้รุ่นก่อนออกไปได้ ในระบบนี้มักใช้กับป่าสนซึ่งมีเมล็ดเล็ก งอกได้ง่ายใต้ร่มแม่ไม้ที่มีการเตรียมพื้นที่สำหรับการงอกไว้แล้ว

การตัดไม้ให้เหลือไว้ในพื้นที่อีกระบบหนึ่ง คือ การตัดไม้ไว้ร่ม (shelterwood system) จะเป็นการตัดต้นไม้ที่ต้องการออกไป แล้วเหลือต้นไม้จำนวนหนึ่งไว้ในพื้นที่เพื่อเป็นไม้อนุบาลกล้าไม้ ซึ่งระบบนี้จะเหมาะสำหรับป่าธรรมชาติที่มีกล้าไม้เดิมขึ้นอยู่หนาแน่น หรือเหมาะสำหรับการปลูกเสริมไม้โตช้า ซึ่งหากไม่มีไม้ไว้ร่ม อาจมีวัชพืชขึ้นมาทดแทนอย่างรวดเร็ว ทำให้งานปลูกบำรุงป่ามีความยากลำบากมากขึ้น

                   สำหรับระบบการตัดหมด (clear cut system) จะเป็นการตัดต้นไม้ในพื้นที่ออกทั้งหมด มักใช้กับไม้รอบตัดฟันสั้นอายุ 5-10 ปี เป็นไม้โตเร็ว ให้วัตถุดิบสำหรับการอุตสาหกรรม เช่น ไม้ยูคาลิปตัส ระบบนี้เป็นการใช้ที่ดินที่มีประสิทธิภาพ ให้ผลผลิตต่อพื้นที่สูง ซึ่งเหมาะสมสำหรับพื้นที่ค่อนข้างราบมากกว่าพื้นที่ลาดชัน ที่อาจมีผลกระทบต่อการอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่

 

8.4    สรุป

            วนวัฒน์วิธี (silvicultural practices) เป็นการปฏิบัติเพื่อให้ต้นไม้ตั้งตัวได้ มีการเจริญเติบโตดี มีองค์ประกอบของพรรณไม้ตามวัตถุประสงค์ของการจัดการ ให้ป่าไม้มีสุขภาพดี มีต้นไม้ที่มีคุณภาพ ซึ่งมีวิธีปฏิบัติมากมาย อาจเรียกว่าเทคโนโลยีทางวนวัฒน์ก็ได้ การใช้วนวัฒน์วิธีที่เหมาะสมจะต้องมีความรู้พื้นฐานด้านวนวัฒนวิทยา หรือรากฐานวนวัฒน์ (Silvics) ซึ่งกล่าวถึงปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่กำหนดการเกิดป่าแต่ละประเภท ในแต่ละแห่ง มาจนถึงปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อกระบวนการทางสรีรวิทยาของต้นไม้ อันได้แก่ ปัจจัยที่เกี่ยวกับดิน น้ำ อากาศ แสงสว่าง และอุณหภูมิ

            ผู้จะประยุกต์วนวัฒนวิทยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีความเข้าใจในเป้าหมายของการพัฒนาป่าไม้ รูปแบบและองค์ประกอบของหมู่ไม้ที่ปลูกหรือขึ้นตามธรรมชาติ ตลอดจนการเลือกใช้วนวัฒน์วิธีที่เหมาะสม



[1]   ในภาษาไทยอาจใช้คำว่า “วนวัฒนวิทยา” ในความหมายของ “Silvics” ซึ่งเป็นวิชาพื้นฐาน หรือ “Silviculture” ในความหมายของวิชาประยุกต์ที่ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการปลูก บำรุงป่าไม้